tag:blogger.com,1999:blog-71869026950141043442024-02-06T20:25:01.237-08:00การป้องกันโรคอภิสิทธิ์ สองศรีpop 7http://www.blogger.com/profile/09245946912104844791noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-7186902695014104344.post-54049560462757532952009-09-18T23:05:00.000-07:002009-09-18T23:13:35.813-07:00อาหารกับสุขภาพ<strong><span style="color:#ff0000;">อาหารเช้าป้องกัน "โรค+อ้วน"</span><br /></strong> <br />มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะไม่เพียงเติมพลังงานให้ร่างกายและสมองให้พร้อมที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน อาหารเช้ายังป้องกันโรคเบาหวาน หัวใจและโรคอ้วนได้อีก<br /><br /><span style="color:#3366ff;">อาหารเช้าลดน้ำหนัก</span><br /> ใครที่ลดน้ำหนักอยู่ และคิดว่าการงดอาหารเช้าจะช่วยให้ผอมได้ คุณกำลังทำสิ่งที่ตรงกันข้าม การงดอาหารเช้าทำให้ร่างกายลดระบบเผาผลาญลง สมองจะหลั่งสารเคมีที่ชื่อว่า นิวโรเพปไทด์ วาย (neuropeptide Y) ซึ่งจะส่งสัญญาณให้คุณกินโดยไม่รู้ตัว มีภาวะที่เรียกว่า " อาการกินกลางคืน " (night eating syndrome) คือเมื่อเริ่มกินมื้อกลางวันแล้ว คุณจะหยุดไม่ได้จนกระทั่งเข้านอน<br /> <br /> คนที่งดอาหารเช้ามักกินจุบจิบและเลือกอาหารที่กินสะดวก ซึ่งอาจมีไขมัน น้ำตาลและแคลอรีสูง นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดยืนยันว่า ไม่ว่าหญิงหรือชายที่กินอาหารเช้าทุกวันจะอ้วนยากกว่าคนที่งดอาหารเช้า นอกจากนี้ นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์แมทสาชูเสทยังพบว่า คนที่งดอาหารเช้าบ่อยๆ มีแนวโน้มจะอ้วนได้มากกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำถึง 45% ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ กลุ่มผู้หญิงที่กินอาหารเช้าที่มีแคลอรีมากกว่ามื้ออื่นๆ จะลดน้ำหนักลงได้ดีกว่า และ 78% ของคนที่ลดความอ้วนแล้วสามารถประคับประคองน้ำหนักให้คงที่ได้ เป็นพวกที่กินอาหารเช้าทุกวัน ทำไมการกินอาหารเช้าทำให้น้ำหนักลดได้ ยังไม่มีคำตอบชัดเจน รู้แต่เพียงว่า อาหารเช้าช่วยให้หิวน้อยตลอดวัน อย่างไรก็ตามคุณภาพและปริมาณอาหารเช้ามีความสำคัญ ควรจัดให้มีความสมดุลของสารอาหาร และเพื่อลดน้ำหนักจะต้องไม่กินมากเกินไป<br /><br /><span style="color:#cc33cc;">อาหารเช้าลดโรค</span><br /> การกินอาหารเช้าช่วยป้องกันโรคหัวใจ และน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นอาการเตือนของโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้อีกด้วย จากผลการวิจัยคนที่กินธัญพืชไม่ขัดสีทุกวันเป็นอาหารเช้ามานานกว่า 5 ปี จะมีอายุยืนขึ้น เพราะธัญพืชไม่ขัดสีมีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเทอรอลในเลือดและความดันโลหิต ส่งเสริมให้ร่างกายใช้กลูโคสและฮอร์โมนอินซูลินได้ดีขึ้น ธัญพืชที่มีโปรตีนถั่วเหลืองผสมจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มขึ้น เพราะโปรตีนถั่วเหลืองช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือดได้ ส่วนอาหารที่มีองค์ประกอบของกรดโฟลิค วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 จะช่วยลดสารโฮโมซิสเตอีนในเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อหลอดเลือด<br /><br /><span style="color:#cc33cc;">อาหารเช้าเพิ่มพลังสมอง</span><br /> ระหว่างที่นอนหลับร่างกายเรายังคงใช้พลังงานตามปกติ พลังงานเหล่านั้นมาจากกลูโคสที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ กว่าจะถึงเช้ากลูโคสมากกว่าครึ่งจะถูกใช้ไป ร่างกายจึงต้องการเติมพลังงาน ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจะเป็นตัวเริ่มขับเคลื่อนพลังงานให้กับร่างกายได้ดีที่สุด<br /> สมองของคนเราก็ใช้กลูโคสเป็นพลังงานด้วยเช่นกัน แต่สมองไม่สามารถเก็บสะสมกลูโคสส่วนที่เหลือได้เหมือนกับการที่ร่างกายสะสมพลังงาน ฉะนั้นอาหารเช้าจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้สมองเราทำงานได้เฉียบไว หากงดอาหารเช้า คุณอาจไม่รู้สึกอะไร เพราะมีพลังงานสำรองจากการพักผ่อน แต่พอใช้หมดไปร่างกายจะเข้าสู่ภาวะเครียด และแม้ว่าจะกินชดเชยในมื้อเที่ยง ก็สายเกินไป เพราะเวลาที่ร่างกายต้องการพลังงานส่วนนั้นได้ผ่านไปแล้ว<br /><br /><span style="color:#ff0000;">กินอะไรดีที่สุดสำหรับสมอง</span> <br /> นักวิจัยได้ลองให้ชาย - หญิง 22 คน อายุ 60-70 ปี ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรตล้วนๆ โปรตีนล้วน ไขมันล้วน เครื่องดื่มทั้ง 3 ชนิดให้พลังงานช่วยให้การทำข้อสอบเกี่ยวกับความจำระยะสั้นดีขึ้น แต่ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มคาร์โบไฮเดรตทำได้ดีที่สุด ในการทบทวนความจำหลังจากดื่มไป 1 ชั่วโมง ชี้ให้เห็นว่าคาร์โบไฮเดรตมีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง<br /> เมื่องดอาหารเช้า เราจะไม่ได้สารอาหารสำคัญที่ช่วยความจำตลอดวัน แม้แต่การขาดสารอาหารเพียงเล็กน้อย ประเภทกรดโฟลิค วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ก็จะลดความจำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น คนสูงอายุจะดูดซึมวิตามินบี 12 ได้น้อยลง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปเสริมกรดโฟลิค ซึ่งมีมากในธัญพืชไม่ขัดสี ผักใบเขียวจัด ถั่ว น้ำส้มคั้น ฯลฯ<br /><br /><span style="color:#3366ff;">อาหารเช้าที่ควรใส่ใจ</span><br /> ถ้าต้องการให้ร่างกายได้ประโยชน์จากอาหารเช้ามากขึ้น ควรพิจารณาเลือกชนิดอาหารที่มีองค์ประกอบดังนี้<br /><br />คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ดีที่สุดสำหรับอาหารเช้า เพราะจะค่อยๆ ปลดปล่อยกลูโคสให้กับสมองโดยใช้เวลานานขึ้นในการย่อยและดูดซึม แนะนำให้เลือกธัญพืชไม่ขัดสีและผลไม้<br /><br />โปรตีน อาหารทะเลให้กรดอะมิโน เพื่อผลิตสารสื่อข่าวสมอง ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินบีและโคลีนช่วยการทำงานเกี่ยวกับความจำ แม้ไข่มีคอเลสเทอรอลสูง แต่ไข่วันละฟองในมื้ออาหารที่สมดุลนั้น ข้อมูลการวิจัยเปิดเผยว่าไม่เป็นผลเสีย<br /><br />อาหารแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือธัญพืชเสริมแคลเซียม น้ำส้มเสริมแคลเซียม ช่วยในการเผาผลาญไขมันและลดการสะสมไขมันในร่างกาย<br /><br />ที่มา : http://www.healthandcuisine.compop 7http://www.blogger.com/profile/09245946912104844791noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7186902695014104344.post-65766430066068070912009-09-02T20:36:00.000-07:002009-09-18T22:59:07.635-07:00การป้องกันโรค<strong><span style="color:#ff0000;"></span></strong><br /><span style="color:#ff0000;"><strong>การป้องกันโรค</strong></span> หมายถึง การขจัดหรับยับยั้งพัฒนาการของโรครวมถึงการประเมินและการรักษาเฉพาะ เพื่อจัดความก้าวหน้าของโรคในทุกระยะ เป็นการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บกับคน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การป้องกันทำได้ง่ายกว่าการรักษา ซึ่งดีกว่าที่จะมารักษาตอนป่วยแล้ว เหมือนกับซ่อมร่างกาย อวัยวะของคนไม่มีเปลี่ยนเหมือนอุปกรณ์รถยนต์ เราจึงต้องป้องกันไว้ก่อน<br /><br />การป้องกันโรคแบ่งได้เป็น 3 ดับ ดังนี้<br /><br />1. การป้องกันโรคระดับแรก (Primary prevention) หมายถึง การส่งเสริมสุขภาพโดยทั่วไปรวมถึงการปกป้องและต่อต้านการเกิดเฉพาะโรค ได้แก่ การให้สุขศึกษา การรับประทานอาหารเหมาะสมตามวัย การพัฒนาบุคลิกภาพ การทำงาน การพักผ่อน และนันทนาการอย่างเหมาะสม การได้รับคำปรึกษากับการแต่งงานและเรื่องเพศ การคัดกรองพันธุกรรม การตรวจสุขภาพ<br /><br />2. การป้องกันโรคระดับที่สอง (Secondary prevention) หมายถึง การได้รับการวินิจฉัยในระยะแรกของโรคแปละได้รับการรักษาทันท่วงที ความรุนแรงของโรคที่เป็นมีระยะเวลาสั้นสามารถกลับสู่สภาวะของการมีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว<br /><br />3. การป้องกันโรคระดับที่สาม (Tertiary pervention) เป็นระดับที่ไม่เพียงแต่หยุดการดำเนินของโรคเท่านั้น แต่จะต้องป้องกันความเสื่อมสมรรถภาพอย่างสมบูรณ์ จุดประสงค์ก็คือให้กลับสู่สังคมได้อย่างมีคุณค่า<br /><br />พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ฯ พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการป้องกันโรคเป็นอย่างยิ่ง โดยใน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 500,000 บาท เพื่อใช้สร้างอาคาร “มหิดลวงศานุสรณ์”<u><span style="color:#0000ff;"> </span></u>ในบริเวณสถานเสาวภา สำหรับใช้ในกิจการทางด้านวิทยาศาสตร์และผิตวัคซีน บี ซี จี เพื่อปป้องกันวัณโรค ซึ่งผู้คนขณะนั้นประสบปัญหาจากวัณโรคอย่างร้ายแรง<br />เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับวัณโรคมากยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงรายละเอียดของวัณโรค ดังนี้<br /><br /><strong><span style="color:#3333ff;">วัณโรค (Tuberculosis)</span></strong><br /><br />วัณโรคเป็นโรคติดต่อ ที่ยังเป็นปัญหาของประเทศไทยเรา และประเทศด้อวยพัฒนาอีกหลายประเทศ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมียารักษาที่มีประสิทธิภาพสูงก็ตาม แต่เมื่ออัตราการเป็นเอดส์ยังคงเพิ่มสูงขึ้น ก็ย่อมทำให้อัตราการเป็นวัณโรคเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากผู้ป่วยเอดส์มีความบกพร่องของภูมิคุ้มกันจึงติดเชื้อโรคได้ง่ายและขณะนี้กำลังมีการแพร่ระบาดของเชื้อวัณโรคที่มีความต้านทานต่อยาสูง ซึ่งมักเกิดร่วมกับการติดเชื้อโรคเอดส์<br /><br /><span style="color:#33cc00;">สาเหตุ<br /></span><br />วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม Tubercle bacilli ซึ่งประกอบด้วย Mycobacterium Tuberculosis, Mycobacterium Bovis, Mycobacterium Africanum ที่ทำให้เกิดโรคในคนเกือบทั้งหมด คือ Mycobaterium Tuberculosis<br />เชื้อวัณโรคสามารถล่องลอยอยูในอากาศได้เป็นเวลานาน ในบริเวณชื้น อับแสง เชื้อจะมีชีวิตอยู่ได้เป็นเดือน แต่ถ้าถูกแสดงแดดโดยตรง เชื้อจะตายภายใน 2 – 3 ชั่วโมง และสามารถใช้แอลกอฮอล์ 70% ฆ่าเชื้อโรคได้ภายใน 10 นาที<br /><br /><span style="color:#33cc00;">วิธีการติดต่อ</span><br /><br />การติดต่อได้ง่ายที่สุดและพบได้บ่อย คือ การติดต่อโดยทางเดินหายใจ เมื่อผู้ป่วยไอจามหรือหัวเราะ จะปล่อยเชื้อออกมาล่องลอยในอากาศกับฝอยน้ำลาย เมื่อมีผู้สูดหายใจเข้าไปในถุงลมจะทำให้เกิดกระบวนการอักเสบขึ้น ส่วนการติดต่อทางการรับประทาน ทางบาดแผล และทางอวัยวะสืบพันธุ์พบน้อยมาก แหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญคือ ผู้ป่วยวัณโรคที่ตรวจพบเชื้อในเสมหะ<br /><br /><span style="color:#ff99ff;">อาการและอาการแสดง</span><br /><br />ก. อาการและอาการแสดงทั่วไปที่พบบ่อย<br />ผู้ป่วยอาจมีไข้สูงหรือต่ำก็ได้ และอาจเป็นตลอดวันหรือไข้ตอนกลางคืน อาการไข้มักจะเป็นเกินสองสัปดาห์ มักมีอาการไอร่วมด้วย หรือบางครั้งอาจไม่มีไอ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ซูบซีด ซึ่งมักพบในรายที่โรคเป็นระยะลุกลาม<br /><br />ข. อาการเฉพาะระบบ<br />อาการที่เกิดขึ้นแล้วแต่จะเกิดกับระบบใดของร่างกาย ได้แก่ เยื่อหุ้มปอด ต่อมน้ำเหลือง ทางเดินปัสสาวะ กระดูกและข้อ เยื่อหุ้มสมอง ระบบทางเดินอาหาร<br />สำหรับวัณโรคปอดซึ่งพบบ่อย อาการที่พบ คือ ไอเรื้อรังเกิน 3 สัปดาห์ 50-70 % มีไอเป็นเลือด ในรายที่เลือดออกมาก ๆ เกิดจากการแตกของหลอดเลือดแดง ที่อยู่บนผนังโพรงแผล ถ้าเยื้อหุ้มปอดอักเสบมักจะมีอาการเจ็บหน้าอก หรือถ้าเกิดน้ำที่ช่องเยื่อหุ้มปอดจะมีอาการแน่นหน้าอก<br />วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง มีอาการปวดศรีษะ อาเจียน ตึงต้นคอ<br />วัณโรคกระดูกสันหลัง มีอาการปวดกระดูก ปวดหลัง เป็นมากในเวลากลางคืน<br />วัณโรคระบบทางเดินอาหาร มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเดิน ซึ่งมักพบรอยโรคในปอดด้วย<br /><br /><span style="color:#ff99ff;">การวินิจฉัย</span><br /><br />การวินิจฉัยโรค อาศัยลักษณะหลายอย่างประกอบด้วย ดังนี้<br />ลักษณะทางคลินิก<br />การตรวจเสมหะ<br />การตรวจโดยการเอ็กซเรย์ทรวงอก<br />การทดสอบทูเบอร์คูลิน<br />การตรวจโดยวิธีอื่น ๆ เช่น การตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิ การเจาะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด และการตัดชิ้นเนื้อเยื่อหุ้มปอดตรวจ<br /><br /><span style="color:#cc33cc;">การรักษา</span><br /><br />หลักการรักษาที่สำคัญ มีดังนี้<br />ต้องได้รับประทานยาอย่าต่ำสองขนาน เพื่อป้องกันการดื้อยา<br />ต้องได้รับยาสม่ำเสมอ และนานพอ เพื่องป้องกันการกลับเป็นใหม่<br />รับประทานอาหารที่ดีมีคุณค่าแก่ร่างกาย ได้รับการพักผ่อนและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม<br />ปัจจุบันนี้มียาหลายขนาน ซึ่งจัดออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ คือ (มาลี เซ็นเสถียร. 2535 : 88)<br />ยาหลักในการรักษามี 6 ขนาน คือ ไอโซไนอะซิค (Isoniazid) ไรแอมพิซิน (Riampicin) สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) ไพราซินาไมต์ (Pyrazinamide) มีแธมบูทอล (Ethambutal) ธัยอะเซทาโซน (Thiacetazone)<br />ยาสำรอง ใช้ในกรณีเชื้อดื้อยาหลัก ได้แก่ คานามัยซิน (Kanamycin) เอทธิโอนาไมด์ (Ethionamide) ไซโคลซีริน (Cycloserine)<br /><br /><span style="color:#cc33cc;">การป้องกัน</span><br /><br />ถึงแม้จะมียารักษาวัรโรคที่มีประสิทธิภาพก็ตามวัณโรคยังเป็นปัญหาสำคัญทางการสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และขณะนี้สามารถระบาดได้ในทุกสภาพภูมิประเทศทั่วโลก ไม่แต่เฉพาะที่ชื้น อับแสง และแออัดเท่านั้น<br />หลักการทั่วไปของการป้องกัน<br />ให้ภูมิคุ้มกัน โดยฉีดวัคซีน บี ซี จี (B C G = Bacillus Calmette - Gruerin) ควรฉีดตั้งแต่แรกเกิด ผู้ที่ได้รับวัคซีน จะมีความต้านทานโรคได้สูงกว่าคนที่ไม่ได้ฉีด ระยะเวลาคุ้มกันในร่างกายไม่แน่นอน จากการศึกษาพบหลังอายุ 10 ปี ภูมิคุ้มกันจะลดลงประมาณร้อยละ 50 ดังนั้นจึงควรฉีดวัคซีนซ้ำเมื่ออายุ 7 – 8 ปี<br />การให้ยาต้านวัณโรคในคนที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อมาก่อน เช่ย เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีผู้ป่วยวัณโรคระยะติดต่อ แพทย์ พยาบาล และบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคระยะติดต่อpop 7http://www.blogger.com/profile/09245946912104844791noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-7186902695014104344.post-66212160745830418152009-07-15T20:41:00.000-07:002009-07-15T20:50:12.459-07:00ประวัติส่วนตัว pop<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7Zsgfdcl1yhGdfxUDctS5ROiF_1-Z2_iBhyphenhyphenz-nlDQKtryQk5nDQtHlBM3PAI70WpHmVbXeWL4LaJY-0chBDEzhrZk-of2z6Ijc28sEHxoPQQASDHyhOafInEVnUmhch_Xr9teFXJphYo/s1600-h/102.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5358900047421540914" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 236px; CURSOR: hand; HEIGHT: 178px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7Zsgfdcl1yhGdfxUDctS5ROiF_1-Z2_iBhyphenhyphenz-nlDQKtryQk5nDQtHlBM3PAI70WpHmVbXeWL4LaJY-0chBDEzhrZk-of2z6Ijc28sEHxoPQQASDHyhOafInEVnUmhch_Xr9teFXJphYo/s320/102.gif" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#ff0000;">ชื่อ - สกุล</span> นายอภิสิทธิ์ สองศรี</div><br /><div><span style="color:#6633ff;">ชื่อเล่น</span> ป๊อป</div><br /><div><span style="color:#660000;">รหัสนิสิต</span> 50011410097</div><br /><div><span style="color:#ff6600;">คณะ</span> สาธารณสุขศาสตร์</div><br /><div><span style="color:#009900;">สาขา </span>สาธารณสุขศาสตรบัณฑิต</div><br /><div><span style="color:#cc33cc;">มหาวิทยาลัย</span> มหาสารคาม</div>pop 7http://www.blogger.com/profile/09245946912104844791noreply@blogger.com3